✨🌟 ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ (2477)
- ประเภท : Adventure / Fantasy / Horror / Sci-Fi / ขาว-ดำ
- ผู้กำกับ : ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์)
- บทประพันธ์ : ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์)
- บทภาพยนตร์ : ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์)
- ผู้ถ่ายภาพ : หลวงกลการเจนจิต (เภา วสุวัต)
- ผู้ลำดับภาพ : กระเศียร วสุวัต
- บันทึกเสียง : กระเศียร วสุวัต
- เพลงประกอบ : ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์)
- อำนวยการสร้าง : มานิต วสุวัต
- บริษัทผู้สร้าง : ภาพยนตร์เสียงศรีกรุง แบบวสุวัต
- วันที่เข้าฉาย : 10 เมษายน 2477 ฉายที่ศาลาเฉลิมกรุง-พัฒนากร
- ระบบถ่ายทำ : ภาพยนตร์ขาว-ดำ (บางฉากถ่ายด้วยฟิล์มสี) บันทึกเสียงในฟิล์ม 35 มม.
เรื่องย่อ
ภาพยนตร์ไทยดัดแปลงจากนิทานปรัมปราเกี่ยวกับวิญญาณชายชราผู้มีหน้าที่เฝ้าขุมสมบัติโบราณ การผจญภัยตื่นเต้นโลดโผนของพระเอก (เสน่ห์ นิลพันธ์) กับนักวิทยาศาสตร์ (ปลอบ ผลาชีวะ) และสองสหายสาว ที่พบขุมสมบัติโบราณซึ่งมีวิญญาณปู่โสมและบริวารรวมทั้งฝูงงูพิษเฝ้าพิทักษ์รักษา ปู่โสมขุดเอาคนตายไปเป็นบริวาร พาไปไว้ในถ้ำ นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งจึงคิดฉีดยาพระเอก ให้สลบแล้วไปฟื้นในถ้ำได้ต่อสู้กับผีและงูใหญ่
นักแสดง
- เสน่ห์ นิลพันธ์
- ปลอบ ผลาชีวะ
- มณี มุญจนานนท์
- องุ่น เครือพันธ์
Image Gallery & วีดีโอ
เกร็ด
- ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์สีเรื่องแรกๆของไทย (บางฉากถ่ายด้วยฟิล์มสีและขาวดำ) และยังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่วงการเพลงไทย ด้วยการให้กำเนิดเพลงไทยสากลขึ้นมาเป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย
- ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ไทยแนวผจญภัย ถ่ายทำในระบบฟิล์ม 35 มม. ไวด์สกรีน ขาวดำ (บางฉากถ่ายด้วยฟิล์มสี) บันทึกเสียงในฟิล์ม ในนามภาพยนตร์เสียงศรีกรุงแบบวสุวัต ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่มีการย้อมสีเป็นบางฉากเรื่องแรกของไทย
- ภาพยนตร์เสียงศรีกรุงได้สร้างเครื่องถ่ายแบบฟิล์มคู่แบบที่เริ่มใช้ในฮอลลีวู้ดสมัยนั้น ซึ่งมีกล้องถ่ายเสียงแยก เดินพร้อมกับกล้องภาพด้วยเครื่องไฟฟ้า หลังจากทดลองเป็นผลสำเร็จ เรียกชื่อว่า แบบวสุวัต แล้วได้นำมาใช้ถ่ายทำเรื่องใหม่ที่เตรียมไว้ทันที
- ขณะนั้นภาพยนตร์วิทยาศาสตร์สยองขวัญเรื่อง แฟรงเกนสไตน์ (Frankenstein) ที่กำลังได้รับความนิยม ภาพยนตร์เสียงศรีกรุงจึงนำนิทานผีไทยมาดัดแปลง
- ภาพยนตร์เรื่องนี้เปลี่ยนให้ทันสมัยขึ้นเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของสังคมหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยริเริ่มให้นักแสดงแต่งตัวแนวสากลนิยมรวมถึงชุดเดินป่าใส่รองเท้าบูท และมีเพลงไทยแนวสากลจังหวะรัมบ้าประกอบเรื่องครั้งแรก แทนเพลงไทยเดิมที่เคยใช้ในภาพยนตร์ หลงทาง (2475) ก่อนหน้านี้
- สถานที่ถ่ายทำในภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ โรงถ่ายบ้านสะพานขาว (ฉากภายในห้อง กระท่อม สวน ป่าในตอนกลางคืน) บริเวณวังเพ็ชรบูรณ์ (ฉากป่าตอนกลางวัน) ตึกสร้างใหม่แถววัฒนาวิทยาลัย (ฉากลานบ้านของตึกร้าง) และ ถนนราชดำริ (ฉากพระเอกขับรถคุยกับนางเอก)
- ฉากพระเอกและชาวบ้านสู้กับผีดิบ อีกฉากหนึ่งที่พระเอกต้องเผชิญงูจงอางขนาดใหญ่แผ่พังพานสูงกว่าศีรษะ งูฉกขาตั้งกล้องใหญ่ล้มกระเด็นถึง 2-3 ครั้ง ฉากพระเอกตกลงในบ่อขุมทรัพย์ที่ล้อมรอบด้วยงูเห่าชูคอแผ่พังพานสลอน โดยนายแพทย์สถานเสาวภาคุมตลอด
- ฉากพระเอกขับรถคุยกับนางเอก ใช้ถนนราชดำริ (ข้างสนามม้าและสวนลุมพินีในปัจจุบัน) ซึ่งสมัยนั้นเป็นเพียงทางราดยางแคบๆ มีไม้ใหญ่สองข้างทางตัดผ่านทุ่งและสุมทุมพุ่มไม้ ไม่ค่อยมีเสียงอื่นรบกวนเหมาะสำหรับการถ่ายทำหนังเสียงและสมัยนั้นยังไม่มีรถอัดเสียงใช้ กองถ่ายต้องถอดเครื่องอัดเสียงและกล้องจากโรงถ่ายมาติดตั้งในรถบรรทุกวิ่งนำหน้าพร้อมติดไมโครโฟนไว้ที่รถตัวแสดงแล้วโยงสายไฟมาที่รถบรรทุกตลอดทาง ถ่ายเสร็จก็ถอดอุปกรณ์ต่างๆไปติดตั้งคืนที่เดิมในห้องอัดเสียงของโรงถ่าย วันหลังจะถ่ายต่อก็ถอดเอามาใส่รถบรรทุกใหม่
- ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการทดลองถ่ายฉากลานตึกตอนกลางวันและฉากสวนที่บ้านสะพานขาวตอนกลางคืนด้วยฟิล์มและล้างน้ำยาพิเศษให้ออกสีได้ ซึ่งเพิ่งเริ่มมีในต่างประเทศ แต่ไม่นิยมเพราะต้องลงทุนสูงกว่าหนังขาวดำถึงเท่าตัวและสียังไม่ดี
- เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้คือเพลง ลาทีกล้วยไม้ แต่งโดยเรือโท มานิต เสนะวีณิน (ทำนอง) และขุนวิจิตรมาตรา (คำร้อง) ขับร้องโดยนางเอก องุ่น เครือพันธ์ ซึ่งเป็นเพลงสากลที่มีโน้ตแบบฝรั่งแล้วใส่คำไทย เป็นเพลงไทยสากลที่มีการขับร้องเป็นครั้งแรก เพลงต้นฉบับบันทึกลงแผ่นเสียงครั้ง 78 (ตามข้อมูลรายการเพื่อนฝัน สวท 891) ต่อมาบันทึกใหม่โดย จินตนา สุขสถิตย์
- ภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายพร้อมกันที่โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงและพัฒนากร ช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2476 ก่อนฉายทีมงานคิดริเริ่มให้มีการโชว์ตัวนางเอกทั้งคู่ร้องเพลงในเรื่องบนเวทีทุกรอบเป็นครั้งแรกของวงการด้วย ผลปรากฏว่าคนดูแน่นเป็นประวัติการณ์ จนรั้วเหล็กของเฉลิมกรุงด้านถนนเจริญกรุงพังทั้งแถบ ส่วนด้านโรงภาพยนตร์พัฒนากร ประตูใหญ่ของโรงหลุดจากฝาผนังล้มลงมาทั้งกรอบ (ตามข้อมูลจากหนังสือของกาญจนาคพันธุ์ หน้า 52-53, 115-116)